สดใหม่โดนใจผู้ชม "John Wick: Chapter 2"



ผู้กำกับ แชด สตาเฮลสกี อธิบายถึงหนัง John Wick: Chapter 2 ที่ภาคแรกดิบมันได้ใจคนดู จนพระเอก เคอานู รีฟส์ ต้องกลับมารับบทนักฆ่าหน้านิ่งอีกครั้ง ทั้งที่ในฉากสุดท้ายเจ้าตัวน่าจะได้กลับไปใช้ช่วงเวลาสุขสันต์กับสุนัขคู่ใจตัวใหม่ไปแล้วว่า "มันมีวิธีการทำหนังแอ็คชั่นอยู่แค่สองแบบเท่านั้น ผมสามารถหยิบใครก็ได้มาฝึกหกสัปดาห์ สอนวิธีต่อสู้ 20 กระบวนท่า แล้วการันตีได้เลยว่ามันจะเป็นหนังแบบที่คุณต้องการ หรือผมแค่ทำหนังโคตรแจ่มให้คุณ"


สตาเฮลสกี ยังบอกเพิ่มเติมอีกว่า "ในหนังภาคแรก เราไม่ได้เป็นคนสอนศาสตร์ยูโดให้เคอานู แต่เขาใช้เวลาสองปีไปกับการเรียนยูโด แซมโบ ยิวยิตสู ทั้งในแบบญี่ปุ่นและบราซิลเลียน เขาจึงแทบจะรู้ท่าสตันท์ทั้งหมดแล้ว จากนั้นเราก็ให้เขาไปฝากตัวกับ ทาราน บัตเลอร์ ซึ่งเป็นสิงห์ปืนไวที่สุดของอเมริกา และเป็นนักยิงปืนแท็กติกแชมป์โลก แทนที่จะแกล้งแสดง เราก็ตกลงกันว่า มาแปลงร่างเคอานูให้กลายเป็นอาวุธกันเถอะ แปลงให้เขาเจ๋งๆ แล้วเอาไปอยู่หน้ากล้อง"


แต่การแปลงร่างพระเอกแสนดีของฮอลลีวู้ดให้กลายเป็นนักฆ่าหน้าหยก จนทำให้หนังภาคแรกสามารถกวาดรายรับไปได้กว่า 86 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้างเพียง 20 ล้านดอลลาร์ ก็ไม่ใช่อาวุธหนักเพียงชิ้นเดียวที่ผู้กำกับสตาเฮลสกี และ เดวิด ลีทช์ (ไม่ได้กลับมาในภาคสอง เพราะแยกวงไปทำ Deadpool 2 แทน) ใช้ในการสร้างความสำเร็จให้กับหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์สุดคัลท์ เพราะเบื้องหลังนั้นก็คือความพยายามสร้างสรรค์หนังแอ็คชั่นที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครของอดีตสตันท์แมนตัวจริง (สตาเฮลสกีเคยเป็นสตันท์แมนให้รีฟส์ในไตรภาค The Matrix)


สตาเฮลสกี พูดถึงการร่วมมือกับมือเขียนบท ดีเรค โคลสตาด ในการสร้างโลกใต้ดินของมือสังหารที่กลายเป็นรากฐานให้กับหนังและความสดใหม่โดนใจผู้ชมว่า "ไอเดียดั้งเดิมของมันก็คือการเป็นอะไรที่มากกว่าหนังแอ็คชั่นประเภทฉากขับรถไล่ล่าหนึ่งฉาก ฉากต่อสู้สองฉากและฉากรัวปืนอีกหนึ่งฉาก ผมเป็นแฟนตัวยงของเทพนิยายปกรณัมกรีก ดังนั้นเราจึงอยากทำสิ่งที่เหมือนกับเทพนิยายสมัยใหม่ เป็นอะไรที่ อาคิระ คุโรซาวะ คงจะทำ แต่เพราะงบและเรื่องของเวลา เราจึงไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะถ่ายทอดทุกสิ่งที่เราต้องโชว์ เราจึงมาที่แผนสอง นั่นก็คือเราอยากนำเสนอโลกใบที่แตกต่างออกไป"

Go to TOP