ภาคต่อเชิงจิตวิญญาณ "Everybody Wants Some!!"
สำหรับ Everybody Wants Some!! ที่จริงผู้กำกับ ริชาร์ด ลิงเคลเตอร์ ไม่อยากยอมรับตรงๆ ว่านี่คือภาคต่อของ Dazed and Confused แล้วยิ่งมีคำว่าภาคต่อเชิงจิตวิญญาณอีก ซึ่งผู้กำกับได้เล่าให้ฟังว่า "ผมเรียกมันว่าภาคต่อเชิงจิตวิญญาณเพื่อใช้แยกแยะเนื้อหา เพราะ Dazed เป็นเรื่องในไฮสคูล และใน Everybody Wants Some!! เป็นเรื่องในมหาวิทยาลัย แต่ถ้าคุณอยากเข้าใจ ลองนึกถึงเด็กหนุ่มชื่อ มิทช์ (รับบทโดย ไวลี่ย์ วิกกิ้นส์) ใน Dazed นี่มันก็คืออีก 4 ปีต่อมา หากว่าเขายังคงเล่นเบสบอลอยู่นับจากหนังเรื่องนั้น ซึ่งหากผมทำหนังเรื่องนี้ในอีก 4 ปีถัดมา บางทีมันคงจะมีเหตุผลที่จะมีไวลี่ย์ในหนังเรื่องนี้ด้วย"
ทว่าการตามหลังนานถึง 22 ปี ไม่ใช่แค่ 4 ปี Everybody Wants Some!! หนังที่เล่าถึงกลุ่มนักศึกษาและนักกีฬาเบสบอลของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเท็กซัส ในช่วงสุดสัปดาห์สุดมันส์ก่อนเปิดเทอม จึงไม่มีตัวละครที่ชื่อ มิทช์ อีกแล้ว เช่นเดียวกับตัวละครอื่นๆ จาก Dazed and Confused แต่ก็ชัดเจนว่านี่เป็นหนังที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่เคยประทับใจกับ Dazed ได้สนุกสนานไปกับบรรดาตัวละครและบรรยากาศเดิมๆ ที่เคยคุ้นจากหนังปี 1993 อีกครั้ง ด้วยฉากหลังในปี 1980 ที่ดำเนินต่อเนื่องจากช่วงปลายยุค '70s ใน Dazed แบบพอดิบพอดี ซึ่งความเชื่อมโยงนี้ถูกนำเสนอผ่านคำโปรยของหนังที่บอกชัดเจนว่า "จากผู้กำกับและผู้เขียนบท ริชาร์ด ลิงเคลเตอร์ สู่ภาคต่อทางจิตวิญญาณของ Dazed and Confused"
ผู้กำกับ ริชาร์ด ลิงเคลเตอร์
การที่เวลาได้ดำเนินผ่านไปนานกว่า 2 ทศวรรษในโลกความจริงแทนที่จะเป็นแค่ 4 ปี เช่นในโลกของหนัง บางทีสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างหนังปี 1993 กับหนังปี 2016 คงไม่ใช่แค่ตัวละคร แต่คือตัวผู้กำกับลิงเคลเตอร์เอง จากที่เขามักเคยรู้สึกว่าตัวเองแค่อายุมากกว่านิดหน่อย เมื่อเทียบกับพวกนักแสดงในหนังของเขา แต่การได้พบกับบรรดาพ่อแม่ของนักแสดงในหนังปี 2016 เรื่องนี้ในรอบพรีเมียร์ ผู้กำกับวัย 55 ปี ดูจะตระหนักถึงความจริงล่าสุด