ซึมซับประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ "The Promise"



แม้ฉากหลังดูยิ่งใหญ่อลังการ โดยเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่จักรวรรดิอออตโตมันใกล้สิ้นสลาย แต่โดยเนื้อแท้ หนังก็คือเรื่องราวรักสามเส้าระหว่างสองชายและหนึ่งหญิง The Promise เป็นผลงานการกำกับของ เทอร์รี่ จอร์จ ซึ่งเป็นมือเขียนบทและผู้กำกับที่มีผลงานคุณภาพอยู่ในมือน่าสนใจ เขาคือผู้เขียนบทให้กับหนังคุณภาพอย่าง In the Name of the Father, The Boxer, Hotel Rwanda และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องที่เขาเขียนบทและกำกับเอง อาทิเช่น Hotel Rwanda และ Reservation Road


ในการทำหนังแต่ละเรื่อง เทอร์รี่ จอร์จ ทิ้งช่วงในการปั้นงานนานพอสมควร อย่าง The Promise ก็ทิ้งช่วงจากผลงานเรื่องก่อนหน้านี้นานถึงสี่ปี และจะไม่น่าแปลกใจที่ผลงานแต่ละเรื่องของเขา มักจับประเด็นเหตุการณ์สำคัญไม่ต่างจากผลงานหนังที่เขาชื่นชอบ "หนังที่ผมรักและชื่นชมส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่พาคนดูเข้าสู่เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นหนังที่ทำให้เราซึมซับประวัติศาสตร์ด้วยวิธีที่เป็นเอกลักษณ์ หนังที่อิงจากเรื่องจริง อย่างเช่น Schindler's List, The Killing Fields, Reds, The Battle of Algiers และหนังดราม่าเชิงประวัติศาสตร์อย่าง A Man for All Seasons, Dr. Zhivago และ Apocalypse Now"


The Promise เริ่มเรื่องราวในปี 1914 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 ใกล้มาถึง จักรวรรดิออตโตมันที่ยิ่งใหญ่กำลังจะล่มสลาย คอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงที่มีชีวิตชีวา และมากไปด้วยวัฒนธรรมบนชายฝั่งของบอสพอรัสกำลังจะเข้าสู่จุดวิกฤต ณ เวลานั้น มิคาเอล โบโกเซียน (ออสการ์ ไอแซ็ค) เดินทางมาที่เมืองแห่งนี้ในฐานะนักเรียนแพทย์ โดยเขาตั้งใจที่จะนำเทคนิคแพทย์สมัยใหม่กลับไปยังซิรอน หมู่บ้านที่เขาเติบโตมาทางตอนใต้ของตุรกี ที่ซึ่งชาวตุรกีมุสลิม และอาร์เมเนียคริสเตียนอยู่กันคนละฝั่งเป็นเวลานับศตวรรษ


ขณะเดียวกัน ช่างภาพหนังสือพิมพ์ คริส มายเยอร์ส (คริสเตียน เบล) เดินทางมาที่นี่เพื่อทำข่าวการเมือง และเขาก็ต้องเผชิญกับมนต์แห่งความรักที่มีต่ออนา (ชาร์ล็อตต์ เลอบง) ศิลปินสาวชาวอาร์เมเนียที่เขาติดตามมาจากปารีสหลังจากพ่อของเธอจากโลกนี้ไป เมื่อมิคาเอลได้พบกับอนา การที่ทั้งคู่สืบเชื้อสายอาร์เ

Go to TOP