สำหรับเรื่องราวเทพปกรณัมกรีก ความเป็นแฟนตาซี และการสร้างโลกเสมือนจริงให้กลายเป็นมหากาพย์แบบใน Gladiator คงเป็นเรื่องที่ท้าทายโจนาธาน ลีเบสแมน ผู้กำกับ Wrath Of The Titans กับการกำกับหนังแฟนตาซีที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกร่วมตามและจับต้องได้ แต่ด้วยความตั้งใจที่จะทำให้บรรยากาศของหนังดิบและสมจริงมากขึ้น ผู้กำกับจึงอยากให้หนังออกมาสมจริงโดยที่ยังคงมีสัตว์ประหลาดเพ่นพ่านเต็มจอ

ลีเบสแมนอธิบายว่าหนังจะเน้นที่สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อ (ซุส) กับลูกชาย (เพอร์ซิอุส) เป็นเรื่องของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เรื่องของลูกชายที่เข้ากับพ่อไม่ได้ ส่วนพ่อของเขาก็มีปัญหากับพี่น้อง (ระหว่างซุสกับฮาเดส) และถึงเวลาที่เพอร์ซิอุสจะต้องมีครอบครัว มีภาระเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ยังพูดถึงการรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้ เรามองสิ่งพวกนี้เป็นพื้นฐานของเรื่อง แล้วจึงค่อยโยนกองทัพสัตว์ประหลาดกับสเปเชียลเอฟเฟกต์เข้าไป

นอกจากนี้เรายังได้เห็น เลียม นีสัน (ซุส), เรล์ฟ ไฟนส์ (ฮาเดส) ที่กลับมารับบทเทพอย่างพร้อมหน้า และด้วยเนื้อเรื่องที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันระหว่างซุสและฮาเดส บทของพวกเขาจึงเด่นกว่าเดิม ลีบิสแมนยืนยันว่าพวกเขาจะปรากฏตัวบนจอเยอะขึ้น ในเมื่อเราทำหนังใหญ่ที่มีดาราระดับเอลิสต์อยู่พร้อมแล้ว คุณก็ต้องใช้พวกเขาให้คุ้ม อย่างภาคที่แล้วเรล์ฟ ไฟนส์โดนจับแต่งหน้า ทำผมขาว และต้องพูดเหมือนเป็นมะเร็งคอ มาภาคนี้เราจะได้เห็นและได้ยินเขาพูดแบบเรล์ฟ ไฟนส์กันเสียที และแน่นอนว่าการกลับมาร่วมจอเดียวกันอีกครั้งของสองคู่หูแห่ง Schindler